ซุ้มถ่ายรูปรับปริญญา คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดราม่าทะลัก น้อยแต่มาก ศิลปะแนวมินิมอล เอาออกเถอะ อ.ทัศนัย ร่วมคอมเมนต์ ดราม่า ซุ้มถ่ายรูปรับปริญญา คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถูกโลกออนไลน์แชร์ภาพและพูดถึงหนักมาก ตั้งแต่วานนี้ (11 ม.ค.65) โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก Deawwadee Komsun Wongsa ได้โพสต์ภาพซุ้มรับปริญญาดังกล่าวซึ่งตั้งตระหง่านอยู่หน้าคณะพร้อมแคปชั่นว่า “ยินดีกับน้องบัณฑิตทุกคนนะค่ะ”
หลังภาพซุ้มรับปริญญา คณะวิจิตรศิลป์ เผยแพร่ออกไป
ชาวเน็ตต่างพากันเข้ามาคอมเมนต์ แต่ส่วนมากไม่ใช่การร่วมแสดงความยินดีกับบัณฑิตจบใหม่ทั้งหมด เพราะโฟกัสของชาวโซเชียลไปอยู่ที่ การจัดทำซุ้มนี้ขึ้นมา ว่าจริงๆแล้ว มากกว่านี้ได้ไหม หรือ บางคนแอบแซวว่า เป็นซุ้มของงานวันเด็กที่เพิ่งผ่านมาแล้วลืมเอาออกหรือเปล่า
นอกจากชาวเน็ตแล้ว ผศ. ดร.ทัศนัย เศรษฐเสรี อาจารย์ประจำสาขาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ได้โพสต์ภาพดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊ก Thasnai Sethaseree ด้วย พร้อมกับแสดงวามคิดเห็นว่า “คณะที่ฝึกความสามารถด้านศิลปะ ทำซุ้มถ่ายรูปวันรับปริญญาให้กับนักศึกษา ไม่ต้องให้ความสำคัญ แต่น้ำจิตน้ำใจควรมีมากกว่านี้”
กระแสแซ่ซ้องความมินิมอลของซุ้มรับปริญญาดังกล่าว นอกจากประเด็น การออกแบบจัดทำแล้ว ล่าสุดวันนี้ (12 ม.ค.65) ผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กรายหนึ่ง ถึงกับได้เข้ามาเสนอให้ยกเลิกการจัดพิธีรับปริญญาบัตร เลิกให้ค่ากับสิ่งที่สมมุติขึ้นมาทั้งหมด นอกจากนี้ยังอธิบายอีกว่า ตนเองจบากจากรั้ว มช. เช่นกัน และวันที่รับปริญญาเป็นวันที่ครอบครัวกำลังลำบาก พ่อไม่มีอาชีพ บ้านโดนยึด
ไม่มีเงินแม้กระทั่งจะเช่าชุดครุย ไม่มีเงินจัดเลี้ยง ไม่มีเงินจ้างช่างภาพ แต่สุดท้ายก็พยายายมเอาเงินเท่าที่เหลือเช่าชุดครุยจนได้ พอรับเสร็จกลับบ้านทันที
นอกจากนี้ อีกหนึ่งความเห็นยังได้ขออนรุญาตวิจารณ์ถึงการจัดทำซุ้มนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ระบุ อาจไม่ต้องอลังการ แต่อย่างน้อยควรให้ออกมาแล้วดู รู้สึกถึงกระบวนการคิด การทำงานที่ถือเป็นผลลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง และยังแสดงให้เห็นถึงการเอาใจใส่ของคณะที่สอนศิลปะที่มีต่อสังคม
“ขอบ่นหน่อย อาจจะยาว คืออาจไม่ต้องเป็นซุ้มที่ยิ่งใหญ่อลังการก็ได้ จะเล็กแบบนี้ก็ไม่ว่า แต่อย่างน้อยควรดูแล้วรู้สึกว่าได้ผ่านกระบวนการคิดการทำงานที่ถือเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง เป็นงานประติมากรรมชิ้นหนึ่งที่มาจากคณะที่สอนศิลปะ ให้เด็กนักศึกษาทำให้คอนเซ็ปท์ congratulations อะไรก็ว่าไป เอาจริง คือ จะไม่มีก็ได้นะ แต่ในเมื่อจะมีแล้ว คณะน่าจะใส่ใจสักหน่อยคิดว่าเป็นการบูรณาการให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วมโชว์ฝีมือ โชว์ความคิดในการสร้างงานศิลปะก็ได้ป่าว ไม่ได้อยากให้มองว่าการที่คนมาบ่น มาดราม่า ดราม่าทำไมกันกับเรื่องไร้สาระ มันเหมือนไร้สาระนะแต่คิดดูดีๆ มันสื่ออะไรบางอย่าง ให้เห็นถึงการเอาใจใส่ของคณะที่สอนศิลปะที่มีต่อสังคมนะ หึหึ”
สธ. แจง โควิด จะเป็น โรคประจำถิ่น ยอดสูญเสียเหลือ 0.1%
กระทรวงสาธารณสุข อธิบายหลังจากที่ตั้งเป้าจะจัดการให้ โควิด เป็น โรคประจำถิ่น ชี้ยอดผู้สูญเสียเหลือแค่ร้อยละ 0.1 นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง (11) นพ.ทรงคุณวุฒิ หัวหน้าสำนักวิชาการสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังกรมควบคุมโรค ได้กล่าวพิจารณาให้โควิดเป็นโรคโควิดประจำถิ่น ภายในสิ้นปีนี้
โดย นพ.แพทย์รุ่งเรือง ระบุว่า ก่อนอื่นต้องเข้าใจความหมายของคำว่า โรคประจำถิ่น ไปจนถึงคำอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก่อน ซึ่งเป็นระดับความรุนแรงของโรค เริ่มจากคำว่า โรคประจำถิ่น (Endemic) คือ โรคที่เกิดขึ้นประจำในพื้นที่นั้น มีอัตราป่วย สถานการณ์คงที่ ความรุนแรงลดลง และสามารถคาดการณ์ได้ โดยขอบเขตของพื้นที่อาจเป็นเมือง ประเทศ หรือใหญ่กว่านั้นอย่างกลุ่มประเทศ หรือทวีป เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออกในประเทศไทย โรคมาลาเรียในทวีปแอฟริกา
ต่อมาคือ คำว่า การระบาด (Outbreak) เป็นเหตุการณ์ที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นผิดปกติ ต้องย้ำคำว่า ผิดปกติ ทั้งในกรณีโรคประจำถิ่น แต่มีจำนวนผู้ป่วยมากกว่าที่คาดการณ์ หรือในกรณีโรคอุบัติใหม่ ถึงแม้จะมีผู้ป่วยเพียงรายเดียว ก็นับว่าต้องจับตาดูเช่นกัน
จากนั้น คือคำว่า โรคระบาด (Epidemic) เป็นการระบาดของโรคที่แพร่กระจายกว้างขึ้นในเชิงภูมิศาสตร์ ซึ่งโรคระบาดที่แผ่ไปในพื้นที่ที่กว้างขึ้นนั้นเป็นการระบาดที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน และมีจำนวนผู้ติดเชื้อเกินกว่าที่คาดการณ์ได้ เช่น โรคอีโบลาที่ระบาดในทวีปแอฟริกาตะวันตกในปี 2557-2559
และคำว่า การระบาดใหญ่ หรือ ระดับการระบาดสูงสุด (Pandemic) เช่น การระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2461 (Spanish flu) หรือการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และล่าสุดคือการระบาดของโควิด ในอย่างน้อย 122 ประเทศทั่วโลก
ปัจจุบัน โควิด-19 กำลังเปลี่ยนสู่การเป็นโรคประจำถิ่น หรือโรคที่เราสามารถคาดการสถานการณ์ได้ ด้วยปัจจัยสำคัญคือ เชื้อลดความรุนแรง โดยปัจจุบันความรุนแรง อัตราป่วยตายโรคโควิด-19 ลดลงเหลือเสียชีวิต 1 ราย จากผู้ติดเชื้อ 1,000 ราย หรือ 0.1% จากที่ในช่วงแรกของการระบาดตัวเลขข้างต้นสูงถึงมากกว่า 3%
นอกจากนั้นยังมีปัจจัยที่ประชาชนมีภูมิคุ้มกันค่อนข้างดี เช่น การฉีดวัคซีน การติดเชื้อก่อนหน้า ไปจนถึงระบบการบริหารจัดการ การดูแลรักษา และควบคุม ชะลอการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Credit : androidspiele.net aokhoaclongnu.com arungkodaiillam.com batukawa.net beachwalking.net breadandrosesolympia.org brewater.net buypillslowprices.net campaignforyouthjusticeblog.org chinonais.net