‘สุเทพ’ ลั่นไม่อยากเดินขบวนอีก หลัง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ตั้งเป้าชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์

‘สุเทพ’ ลั่นไม่อยากเดินขบวนอีก หลัง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ตั้งเป้าชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์

สุเทพ ลั่นไม่อยากเดินขบวนอีกแล้ว พร้อมสะกิดเตือนประชาชน หลัง อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ประกาศตั้งเป้าชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. ได้โพสต์วิดีโอลงเฟซบุ๊กในรายการ “คุยกับลุง” ตอน 26 โดยได้กล่าวถึงกรณีที่ พรรคเพื่อไทยได้ออกแคมเปญ ‘แลนด์สไลด์ เพื่อไทย เพื่อคนไทยทุกคน ซึ่งเป็นการตั้งเป้าให้ได้คะแนนเสียง ส.ส. 250 ที่นั่งในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะถึงนี้

โดยนายสุเทพกล่าวว่า 

“วันนี้พวกผมก็ไม่ต้องขึ้นศาลไม่ต้องสู้คดี วันนี้ตนโดนศาลชั้นต้นลงโทษพิพากษาจำคุก 5 ปี เพราะเหตุที่มาเดินขบวนต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมต่อต้านระบอบทักษิณ แต่เราก็ไม่หนี ถ้าถูกจำคุกก็ยินดีที่จะติดคุกในประเทศไทย

ไม่หนีไปเสวยสุขอยู่ต่างประเทศ เพราะเราเคารพกฎหมายไทย เคารพระบบศาลๆ ไทย เห็นเขามาโฆษณาชวนเชื่อถ้อยคำไพเราะ เพราะพริ้ง จัดฉากใหญ่โต พี่น้องบางคนอาจจะลืมความหลัง อาจจะเคลิบเคลิ้มไป ตนก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะญาติ ในฐานะพี่น้องทั้งหลายสะกิดเตือนว่า อย่าเพิ่งลืมเรื่องพวกนี้ เพราะคนพวกนี้ที่ทำร้ายประเทศไทย อย่างแสนสาหัส

นายทักษิณโกงไป จนศาลตัดสินลงโทษจำคุกก็หนีไปต่างประเทศ น้องสาวมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็โกงอีก ทุจริตคอร์รัปชันโครงการรับจำนำข้าวเฉพาะโครงการนี้โครงการเดียวประเทศเสียหายไป 5-6 แสนล้านบาท

นี่ประกาศว่าเลือกตั้งคราวหน้าจะต้องแลนด์สไลด์ จะต้องเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวมาบริหารประเทศ ผมสยองเลย กลัวเลย เพราะเห็นมาแล้ว พี่ชายเป็นนายกฯ ก็โกง น้องสาวเป็นนายกฯ ก็โกง และถ้าลูกสาวมาเป็นนายกฯ อีกแล้วก็โกงอีก แล้วจะทำอย่างไร ผมไม่อยากเดินขบวนอีกแล้ว ผมไม่อยากออกมานอนกลางดินกินกลางถนนอีกแล้ว

ผมคิดว่า วันนี้เราต้องเปลี่ยนรูปแบบวิธีการต่อสู้ เขาต่อสู้โดยผ่านมาทางโซเชียลมีเดีย พวกเราคนรักชาติบ้านเมืองก็ต้องสู้กันโดยโซเชียลมีเดีย ไม่ต้องออกมานอนกลางดินกินกลางถนน ใครที่ยังจำความหลังได้ ยังระลึกได้ว่าคนในระบอบทักษิณได้ก่อกรรม กับประเทศไว้อย่างรุนแรงสาหัสเพียงใด ช่วยเตือนคนที่ลืมไปแล้วว่าอย่าไปหลงใหลกับคำโฆษณาของเขา สิ่งที่เขาโฆษณาอยู่นั่นเขาทำอีกเรื่องต่างหาก”

‘ประยุทธ์’ วอนผู้ประกอบการงดไม่ขึ้นราคาเกินจำเป็น มั่นใจขณะนี้ รบ. ทำได้ดีกว่าหลายประเทศ

ประยุทธ์ ออกโรงวอนวอนผู้ประกอบการงดไม่ ขึ้นราคาสินค้า เกินจำเป็น ยืนยันไม่นิ่งนอนใจ มั่นขณะนี้ รัฐบาลไทยทำได้ดีกว่าหลายประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมากล่าวถึงสถานการณ์สินค้าแพงจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่ปรับตึ้วขึ้นว่าในขณะนี้รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและเข้าใจจากปัญหาราคาต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าแรงและค่าพลังงาน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งหาแนวทางแก้ไขและบรรเทาความเดือดร้อน

นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ขณะนี้มีการนำประเด็นดังกล่าวไปวิพากษ์วิจารณ์การทำงานรัฐบาล ว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ในขณะที่รัฐบาลทำได้ดีกว่าในหลายประเทศ แต่อาจจะไม่ 100% ซึ่งนายกรัฐมนตรี ก็ไม่พอใจในเรื่องนี้เช่นกัน แต่ปัจจัยสำคัญที่ต้องตระหนักคือ งบประมาณที่มีจำกัดและเริ่มร่อยหรอ

ดังนั้น การจะทำอะไรต้องมีหลักการ ไม่สร้างภาระต่อไปในอนาคต และสถานการณ์ขณะนี้ต้องทำให้คนอยู่รอดและปลอดภัยจากโรคระบาด ถ้าหากไม่มีโควิด-19 แล้ว เชื่อว่าหลายอย่างน่าจะดีขึ้นกว่านี้ และหากยังมีโอกาสได้ทำหน้าที่ต่อ ก็จะแก้ไขปัญหาต่อไป

นายกรัฐมนตรี ยังฝากถึงผู้ประกอบการภาคเอกชน ให้พิจารณาเรื่องการขึ้นราคาสินค้าให้เหมาะสม สอดคล้องเรื่องเงินเฟ้อ และ ต้นทุนการผลิต มากกว่าการคงกำไรให้ได้เท่าเดิม จึงขอให้ช่วยชาติและรัฐบาลในเรื่องนี้ด้วย และย้ำว่าประเทศไทยมีหลายเรื่องต้องปรับแต่ไม่สามารถทำได้ง่าย เพราะความขัดแย้งสูง พร้อมขอร้องให้ลดประเด็นทางการเมือง ขอให้เบาลง ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดความไม่เชื่อถือ ส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้

การเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูประเทศจากสถานการณ์โควิด-19 และเตรียมความพร้อมรองรับโรคอุบัติใหม่ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งผมได้ยืนยันความพร้อมของไทย ในการเป็นที่ตั้งของ “ศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่” รวมทั้ง ได้มีการหารือถึงแนวทางการส่งเสริมให้มีการผ่อนคลายมาตรการการเข้าประเทศเป็นลำดับ ตามสถานการณ์ เพื่อให้ประชาชนของทั้งสองประเทศ สามารถกลับมาเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างกัน ขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวได้มากขึ้น

ความร่วมมือด้านความมั่นคงร่วมกัน ภายใต้กลไกทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ การต่อต้านการก่อการร้ายสากล ความมั่นคงทางไซเบอร์ ความมั่นคงทางทะเล เป็นต้น

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศที่มีการลงทุนในไทยมากที่สุด โดยในปี 2564 ที่ผ่านมา มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน จำนวน 178 โครงการ จากทั้งหมด 1,674 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 80,733 ล้านบาท จากทั้งหมด 642,680 ล้านบาท เฉพาะในเดือน มี.ค.65 นี้ มีการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนญี่ปุ่น จำนวน 2 ราย มีมูลค่าการลงทุนราว 630 ล้านบาท โดยผมมุ่งหวังที่จะสนับสนุนให้ภาคเอกชนของญี่ปุ่น ให้ความสำคัญและเลือกประเทศไทย เป็นที่ตั้งของห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น ที่สามารถเชื่อมโยงทั้งภูมิภาคนี้ได้

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป