ทางการ ออสเตรเลีย ออกมาแสดงความเห็นว่า ประเทศ ออสเตรเลีย ไม่น่าจะมีการ เปิดชายแดน ในปีนี้ เนื่องจากทางการยังกังวลถึงโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 18 มกราคม สำนักข่าว ชาแนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า ทางการออสเตรเลียได้ออกมาเปิดเผยว่า ทางประเทศออสเตรเลียอาจจะยังไม่เปิดชายแดนอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2564 นี้ แม้ว่าประชากรส่วนใหญ่จะได้รับการฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 แล้วก็ตาม
โดยทางการระบุว่า พวกเขายังไม่มั่นใจว่าการฉีดวัคซีนจะสามารถป้องกันการแพร่เชื้อของโรคโควิด-19 ได้หรือไม่
นอกจากนี้ทางการออสเตรเลียยังระบุว่าพวกเขากำลังตรวจสอบถึงผลค้างเคียงของวัคซีนไฟเซอร์ หลังจากที่มีรายงานว่าผู้สูงอายุในประเทศนอร์เวย์ที่ได้รับวัคซีนชนิดดังกล่าวเสียชีวิตแล้ว 29 ศพ
ประเทศออสเตรเลียถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการยกย่องว่ามีมาตรการรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ดีที่สุดในโลก ซึ่งในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาประเทศออสเตรเลียไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ที่ติดเชื้อจากในประเทศ ขณะนี้ประเทศออสเตรเลียมียอดผู้ป่วยสะสมอย่างน้อย 22,000 ราย และยอดผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 อยู่ที่ราวๆ 900 ศพ
ตูนิเซีย ต้องเผชิญกับสถานการณ์ ประท้วง เดือดอีกครั้ง หลังจากที่ประชาชนออกมาแสดงความไม่พอใจต่อสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ เมื่อวันที่ 17 มกราคม สำนักข่าว อัลจาซีร่า รายงานว่า เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ชุมนุมตูนิเซีย ปะทะกันในกรุงตูนิส และในอีกหลายพื้นที่ หลังจากที่ผู้ชุมนุมจำนวนมากได้ออกมารวมตัวประท้วง จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นผลพวงมาจากการล็อกดาวน์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่าพวกเขาได้จับกุมผู้ชุมนุมอย่างน้อย 240 คน ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นหรือเด็ก ที่ทำลายทรัพย์สินหรือพยายามปล้นสะดมร้านค้าและธนาคารในหลายพื้นที่การชุมนุม
เหตุปะทะครั้งนี้ถือเป็นวันที่สองติดต่อกันที่ผู้ชุมนุมออกมารวมตัวแสดงความไม่พอใจต่อเศรษฐกิจที่ตกต่ำภายในประเทศ โดยสำนักข่าวอัลจาซีร่าระบุว่า ในปีที่ผ่านมา GDP ของประเทศตูนิเซียลดลงร้อยละ 9 ในปีที่ผ่านมา และประชากรที่มีอายุน้อย 1 ใน 3 ตกงาน
ซึ่งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรายได้สำคัญของประเทศ และนอกจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แล้ว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในตูนิเซียหดตัวลง จากเหตุความรุนแรงในปี 2558 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 39 ศพ ขณะนี้ประเทศตูนิเซียมียอดผู้ป่วยสะสมมากกว่า 177,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสแล้วมากกว่า 5,600 ศพ
ศาลเกาหลีใต้ตัดสิน จำคุก นาง ปัก กึนเฮ อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เป็นระยะเวลา 22 ปี จากข้อหาทุจริตคอร์รัปชั้นและละเมิดกฎเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 14 มกราคม สำนักข่าว CNN รายงานว่า ศาลฎีกาในประเทศเกาหลีได้พิพากษาจำคุก นาง ปัก กึนเฮ อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เป็นระยะเวลา 22 ปี โดยแบ่งเป็น ข้อหารับสินบน ใช้อำนาจในทางมิชอบ 20 ปี และ ละเมิดกฎหมายการเลือกตั้ง อีก 2 ปี
โดยทางการเกาหลีใต้ได้พูดถึงการคุมขังครั้งนี้ว่าเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ที่ทุกคนต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก
ก่อนหน้านี้ นาง ปัก กึนเฮ และ เพื่อน ถูกกล่าวหาว่ารับสินบทจากบริษัทต่างๆ เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งในรายชื่อบริษัทมีบริษัท ซัมซุง ผู้ผลิตมือถือรายใหญ่รวมอยู่ด้วย โดยนาย ลี แจ ยุง อดีตประธานซัมซุงเองก็ถูกจับกุมในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย
ซึ่งจากกรณีฉาวในครั้งนี้ ทำให้ประชาชนจำนวนมากออกมาประท้วงเธอในปี 2560 จนนำไปสู่การถอดถอนในที่สุด ซึ่งนาง ปัก กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง
ผู้สูงอายุ ตาย จากการ ฉีดวัคซีน เพิ่มเป็น 29 ศพ
ทางการนอร์เวย์ออกมาแสดงความกังวล หลังมีผู้สูงอายุอีก 6 คน ตาย หลังจากการ ฉีดวัคซีน ต้านโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 17 มกราคม สำนักข่าว บลูมเบิร์ก รายงานว่า ยอดผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์ วัคซีนต้านโควิด-19 เพิ่มขึ้นอีก 6 ศพ ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนในขณะนี้อยู่ที่ 29 ศพ โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ในช่วงอายุ 75 ปีขึ้นไป
ซึ่งองค์การยาในประเทศนอร์เวย์ ได้ระบุว่าการเสียชีวิตทั้งหมดเกี่ยวข้องกับวัคซีน พร้อมระบุว่าผู้ที่เสียชีวิตทั้งหมดมีความผิดปกติในร่างกาย และผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน เช่นอาการวิงเวียนศีรษะ, อาเจียน, ไข้ขึ้น อาจทำให้สภาพร่างกายย่ำแย่ลงได้
ขณะนี้ยังไม่มีรายงานแน่ชัดว่าผู้ตายเสียชีวิตเมื่อใด หลังจากฉีดวัคซีน ประเทศนอร์เวย์ได้ทำการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน 42,000 คน โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนได้แก่ประชาชนในกลุ่มเสี่ยง โดยกลุ่มดังกล่าวมีคนชรารวมอยู่ด้วย
ด้านทางการออสเตรเลียได้แสดงความกังวลถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ พร้อมระบุว่าพวกเขาจะสอบถามข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิตวัคซีน และ ทางการนอร์เวย์ ต่อไป
โดยเขาได้ค้นตามบล็อกตามๆ ก่อนจะพบภาพนี้ ซึ่งเขาก็ได้โพสต์ลงในไอจีสตอรี่ของตัวเอง ก่อนที่ทางทีมทนายของจอห์นนี เดปป์ จะติดต่อเขาและนำภาพนี้เป็นหลักฐานในชั้นศาล
ทั้งนี้หว่องย้ำว่าเขาไม่ได้เป็นคนถ่ายรูปนี้เอง และทีมทนายก็ระบุว่าภาพนี้เป็นโพสต์ของเขาและไม่ใช่รูปของเขา ซึ่งนาย หว่อง ยังขอบคุณทุกคนที่เห็นโพสต์ของเขาแล้วนำไปบอกทีมทนายของ จอห์นนี เดปป์ รวมถึงผู้ที่ถ่ายรูปนี้ด้วย
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป